วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดกระบองเพชร


แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพืชตระกูลกระบองเพชร อยู่ในแถบตั้งแต่ตอนใต้ของแคนนาดาไล่มาจนถึงตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ แต่พื้นที่ที่พบว่ามีกระบองเพชรเยอะที่สุดจะอยู่ในประเทศเมกซิโก และบางประเทศในแถบอเมริการใต้ ต่อมาพันธ์กระบองเพชรถูกนำไปปลูก ณ ที่ต่างๆ ของโลก และมีการแพร่พันธ์อย่างรวดเร็วดังเช่นในทวีปออสเตรเลียเป็นต้น ไม้อวบน้ำพบมากในหลายพื้นที่ของโลกแต่แหล่งที่มีพืชตะกูลนี้มากก์คงยังเป็นเม็กซิโกและประเทศแถบอเมริการใต้ นอกจากนี้ยังสามารถพบไม้อวบน้ำได้มากที่อเมริกากลาง, อเมริกาใต้, อาฟริกาตะวันออก, ตะวันออกกลาง, เกาะมาดากาสการ์, เกาะคานารี่, อินเดีย,ออสเตรเลีย

วิธีการปลูกและเลี้ยงดู


ถิ่นกำเนิดของกระบองเพชรมาจากพื้นที่ ที่มีฝนตกน้อย อากาศโปร่ง ถ่ายเทได้สะดวก ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ ตอนกลาง ของทวีปอเมริกา และ แอฟริกา การเลี้ยงกระบองเพชร ก็ควรจะปลูกไว้ในที่ที่มีสภาพเดียวกันในถิ่นเดิม เพียงแต่ให้อาหารมันมากขึ้น อาหารดังกล่าวก็ได้แก่ปุ๋ย และ ดินที่อุดมไปด้วยอาหาร จะเน้นในเรื่องของการใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นเช่น ดินปลูกต้นไม้ทั่วไป มาปรับปรุงด้วยการเพิ่มวัสดุ ที่เพิ่มความโปร่ง เช่น ทรายหยาบ ถ่าน หรือ เศษอิฐแตก และ เพิ่มเติมด้วย ปุ๋ยคอก สิ่งเหล่านี้มีธาตุอาหารที่ดีสำหรับต้นกระบองเพชรอยู่แล้ว ถ้าได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะอยู่ในสภาพที่สวยงามอย่างที่ไม่อาจจะลืมได้เลยทีเดียว ต้นไม้ในกลุ่มกระบองเพชรนี้จะเป็นต้นไม้ที่มีความทนต่ออากาศร้อน และแสงแดดได้ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ทนต่อความชื้นและร่มเงา ถ้านำต้นไม้ไปอยู่ในที่ร่มมากๆ ก็จะโทรม และตายได้ในที่สุดสาเหตุมาจากความชื้น ลักษณะที่พบเห็นได้ว่าต้นกระบองเพชรอยู่ในที่ร่มจนเกินไปจะมีลักษณะคร่าวๆ ดังนี้


1. ลำต้นยืดยาว ผิดทรงจากที่ควรจะเป็นหรือ ที่เคยเป็น

2. รากเน่าเนื่องมาจากความชื้นในดินยังชื้นอยู่ แล้วรดน้ำ ซ้ำไป

3. มีเชื้อราเกิดขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นกระบองเพชร

4. หนามหดสั้นกว่าปกติ





ปัจจัยสำคัญของการเลี้ยงกระบองเพชรขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบดังนี้


1.แสงแดด


แสงแดดที่เหมาะสมกับกระบองเพชร อยู่ที่ประมาณ 65% - 100% แล้วแต่ชนิดและการฝึกฝนของผู้เพาะเลี้ยง ในการพรางแสงจะใช้วัสดุที่แตกต่างกันไป เช่น ซาแรน 50% เป็นต้น ถ้ากะความเข้ม และ ช่วงเวลาของแสงไม่ถูกก็ใช้แดด ประมาณ ครึ่งวันเช้า จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่กระบองเพชรต้องการ แค่ลองสังเกตมุมที่แดงส่องในตอนเช้า ประมาณ 3-5 ชั่วโมง แล้วเอาต้นกระบองเพชรไปวาง ก็น่าจะพอกับความต้องการ ส่วนต้นไม้เล็กๆ ก็จะต้องการแดดน้อยหน่อย ถ้าต้นไม้ที่โตแล้วก็ต้องการแดดมาก อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของกระบองเพชรครับ

2. น้ำ


การให้น้ำต้นกระบองเพชรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน ดิน แดด และ ลมด้วย ถ้าโดยแดดมากน้ำก็จะต้องให้มากตาม ถ้าโดยลมมาก ก็ต้องรดน้ำมากด้วย ถ้าดินโปร่ง ก็ต้องรดน้ำบ่อย ถ้าดินเนื้อแน่น แห้งช้า ก็รดน้ำน้อยได้ แต่จะให้บอกเป็นตัวเลขแน่นอนไม่ได้ว่า กี่วัน 2-3 วัน ต่อ ครั้ง หรือ ทุกวันก็ยังเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่า ดินที่ใช้อมน้ำหรือเปล่า ถ้าดินอมน้ำมาก ก็รดน้ำไม่บ่อยได้ ถ้าดินไม่อมน้ำ ก็ต้องรดบ่อยหน่อย อันนี้ก็ต้องสังเกตเอา ต้องแยกให้ออกทีละอย่างก่อนเช่น
1. ถ้าดินโปร่ง ลมแรง แดดแรง ต้นไม้ก็จะเหี่ยวเลยนะครับ ควรจะรดน้ำบ่อยหน่อย 2. ถ้าดิน เนื้อค่อนข้างอมน้ำ แดดแรง ไม่มีลม ก็ไม่จำเป็นจะต้องรดน้ำบ่อย แต่ถ้าดินแห้งจัดต้องรดให้ชุ่มเลยนะครับเพราะถ้าดินมันแข็ง มันอมน้ำช้า จะต้องใช้เวลานานหน่อย กว่าน้ำจะซึมผ่านเนื้อดินจนชุ่ม พอที่จะให้รากของต้นไม้ดูดน้ำไว้จนอิ่มพอเลี้ยงลำต้น

3. ดิน


มาคุยกันเรื่องดินดีกว่า ดินอะไรดีหนอ ดินที่ไม่อมน้ำมากจนเกินไปครับ เป็นคำตอบสุดท้าย ดินกลางๆ จะให้ได้กับไม้ได้หลายชนิด ทั้งกระบองเพชร และไม้อวบน้ำ ข้อควรสังเกต ก็คือ 1. มีการระบายน้ำได้ดี2. อาหารพอ3. ราคาถูก4. หาได้ง่าย อะไรก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมีสูตรตายตัวเลย ก็ใช้ ดินร่วน ปุ๋ยคอก ใบไม้ผุ และ ขุยมะพร้าว อย่างละ 1 ส่วน ทรายหยาบ 4 ส่วน ครับ ลองสร้างสูตรดินของคุณเองดูบ้างไหมครับ สนุกดีเหมือนกันนะ

4. ปุ๋ย

ปุ๋ยธรรมชาติที่เป็นส่วนผสมในดินปลูก จะเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว ส่วนปุ๋ยเคมีทรางราก เป็นอาหารเสริม ปุ๋ยเคมีทางใบบ้าง เป็นอาหารที่ใช้ในขณะที่ รากมีปัญหา หรือ ต้องการเร่งให้เห็นผลไว ก็อาจจะใช้เป็นบางช่วงระยะเวลาในการใส่ ก็แล้วแต่ความเหมาะสมครับ ประมาณ เดือนละ 1 - 2 ครั้งก็ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปครับ กระถาง ขนาดกระถางมีผลต่อการใช้ดินและน้ำด้วยนะครับ ถ้ากระถางใหญ่แล้วให้ดินที่เนื้อแน่น ต้นไม้จะมีปัญหาเน่าง่ายนะครับ เพราะต้นไม้จะได้รับน้ำเกินความจำเป็น แต่ถ้าเป็นดินที่เนื้อแน่นอยู่ในกระถางเล็ก ก็จะทำให้ความชื้น ไม่มากเกินไปนะครับ ก็จะเห็นว่าต้นไม้ที่อยู่ในกระถางที่พอดีกับต้น ใช้ดินพอดีกับกระถาง จะโตไวมาก ทั้งๆที่ไม่ต้องให้ปุ๋ยเสริม

รหัสสินค้า M#001

ลักษณะ ไม่มีหนาม ต้นเป็นสันเกลียว วนรอบต้น สูง 5cm กว้าง 3 cm เลี้ยงดูหนาม ดอกจะออกเมื่อต้นมีอายุมาก ออกตรงด้านบนสุดของต้นโดยจะมีดอกเป็นสีขาว จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ก่อนที่ดอกจะออกจะมีหนามยาว ออกนำมาก่อน

ราคาต้นละ 120.- บาท
รหัสสินค้า M#002

ลักษณะ มีหนามแข็ง และยาว ขึ้นแซมระหว่างสันของต้น สูง 2cm กว้าง 3 cm เลี้ยงดูหนาม ดอกจะออกเมื่อต้นมีอายุมาก ออกตรงด้านบนสุดของต้น จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์

ราคาต้นละ 100.- บาท
รหัสสินค้า M#003

ลักษณะ มีหนามละเอียดและนุ่ม ขึ้นแซมระหว่างสันของต้น สูง 5cm กว้าง 2 cm ออกดอกง่าย ช่วงที่ออกดอกจะออกทั้งปี จะออกมากช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ลักษณะดอก ดอกมีสีขาว ดอกจะออกรอบๆต้นวนเป็นวงกลม

ราคาต้นละ 80.- บาท
รหัสสินค้า M#004

ลักษณะ มีหนามละเอียด ขึ้นแซมระหว่างสันของต้น สูง 5cm กว้าง 4 cm เลี้ยงดูหนาม และลายของลำต้นเป็นพันธุ์ที่โตช้า ต้นจะขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเหมือนลูกบอล

ราคาต้นละ 150.- บาท

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

รหัสสินค้า M#005



ลักษณะ มีหนามแข็ง และยาว ขึ้นแซมระหว่างสันของต้น สูง 5cm กว้าง 2 cm เลี้ยงดูหนาม ดอกจะออกเมื่อต้นมีอายุมาก ออกตรงด้านบนสุดของต้นโดยจะมีฐานขึ้นมาก่อน
ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ลักษณะดอก ดอกมีสีแดงสด ดอกจะออกรอบฐานของต้น



ราคาต้นละ 350.- บาท

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

รหัสสินค้า M#006

ลักษณะ มีหนามละเอียด เป็นสีขาวแข็ง
สูง 5cm กว้าง 2 cm เลี้ยงดูได้ทั้งดูหนาม และก็ดอก
ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์
ลักษณะดอก ดอกมีสีแดงสด ดอกจะออกรอบๆต้น ระหว่างหนาม

ราคาต้นละ 120.- บาท
รหัสสินค้า M#007

ลักษณะ ไม่มีหนาม เป็นพันธุ์ที่มีความนิ่ม สูง 2 cm กว้าง 4 cm ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ลักษณะดอก จะเป็นดอกเล็กๆสีขาว ข้นตรงจุดกึ่งกลาง


ราคาต้นละ 250.- บาท

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

รหัสสินค้า M#008

ลักษณะ มีหนามละเอียด หนนามจะไขว้กัน
สูง 2 cm กว้าง 4 cm เลี้ยงดูได้ทั้งดูหนาม และก็ดอก
ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์
ลักษณะดอก ดอกมีกลิ่นหอม


ราคาต้นละ 450.- บาท
รหัสสินค้า M#009

ลักษณะ หนามจะโค้งงอเหมือนเบ็ดตกปลา และฐานของหนามเป็นแฉกรอบๆ สูง 5 cm กว้าง 4 cm ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ลักษณะดอก ดอกจะมีสีแดง จะแทงออกมาระหว่างหนาม


ราคาต้นละ 150.- บาท
รหัสสินค้า M#010

ลักษณะ หนามจะเป็นแฉก ลำต้นจะเป็นริ้วเส้น โค้งไปมา สูง 3 cm กว้าง 4 cmช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์นิยมเลี้ยงไว้ดูลายต้น หรือ ดอกแต่ดอกจะออกยาก



ราคาต้นละ 300.- บาท
รหัสสินค้า M#011

ลักษณะ มีหนามละเอียด ไล่ระดับ2สีจาก สีขาวที่โคนหนาม และปลายหนามจะมีสีน้ำตาล สูง 8 cm กว้าง 4 cm ช่วงที่ออกดอก จะอยู่ช่วงฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ลักษณะดอก ดอกจะมีสีชมพูอ่อน ออกครั้งละหลายๆดอกเรียงกันไปรอบต้น

ราคาต้นละ 250 .- บาท
โรงเรือนของกระบองเพชร




โรงเรือนที่ใช้เลี้ยงกระบองเพชร ต้องกันฝนได้อย่างดีเพราะว่า กระบองเพชรเป็นพืชที่ไม่ชอบนำ และความชื้น แต่ต้องการแสงแดด จึงจำเป็นต้องทำโรงเรือนให้กันฝน และมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา รูปนี้คือ ด้านข้างของตัวโรงเรือนค่ะ จะเห็นได้ว่า ได้นำพลาสติกใส มาปิดไว้แทบจะทุกส่วนของตัวโรงเรือนแต่เห็นใสๆแบบนี้ มีสองชั้น


ชั้นที่1 ปิดด้วยมุ้งสีขาวตารางถี่ๆ ส่วนชั้นที่สอง ก็ปิดด้วยพลาสติคใสทับไปอีกทีค่ะ ยกเว้นที่ประตูทั้งสองด้าน ประตูทั้งสองด้าน ใช้แค่มุ้งสีขาวปิดไว้อย่างเดียว เพื่อให้ลมสามารถพัดเข้ามาได้ ทำให้อากาศภายในถ่ายเท สบาย ไม่อบอ้าว เหมือนโรงเรือนปิดทั่วไป ส่วนหลังคาใช้เป็นกระเบื้องพลาสติคใส แบบใช้ได้เป็นระยะเวลานาน ไม่ขุ่น กระเบื้องชนิดนี้จะมีราคาค่อนข้างแพงค่ะ ถ้าใครต้องการจะประหยัด ก็อาจจะใช้ พลาสติคใสธรรมดามาทำเป็นหลังคาแทนก็ได้ค่ะ รับรองว่าประหยัดสุดๆ แต่อายุการใช้งานก็น้อยลงมาอีกหน่อยค่ะ ถ้าบ้านใครแดดแรงอาจจะมีสาแลนช่วยก็ได้


สนใจติดต่อ e-mail : momoje_yo@hotmail.com
บอกรหัสสินค้า และที่อยู่ที่จะให้ส่งของ
สินค้ามีเพียงอย่างละ 1 ชิ้นเท่านั้น
ค่าขนส่งครั้งละ 50 บาท